forwriter.com
 
นวนิยายรักโรแมนติก

 


เล่ห์รัก ล่าหัวใจ

โดย หนึ่งลิปดา

นวนิยายชุด ตระกูลเบ็ญจรงค์

๓.

วาทินีต้องใช้เวลากว่าสิบนาที ถึงจะรวบรวมสมาธิ สตาร์ทรถออกจากโรงแรมได้ การมาคุยกับพลังพล ไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงเลย นอกจากความรู้สึกของเธอที่มีต่อเขา

แรกนั้นเธอก็แค่ไม่ชอบผู้ชายที่หวังแต่งงานกับน้องสาวเธอเพราะที่ดิน มาเห็นเขาแสดงกิริยาก้าวร้าวใส่ผู้เป็นพ่อ ก็ยิ่งไม่พอใจหนักไปอีก เพราะเธอไม่ชอบผู้ชายที่เจ้าอารมณ์ ฉุนเฉียวและมีแนวโน้มที่จะใช้ความรุนแรงมากกว่าสติปัญญา แต่เมื่อมาพบเขาเมื่อครู่นี้ พลังพลนิ่งมาก ทำตัวสบายๆ เหมือนเป็นคนมีเหตุผล จนเธอแทบจะคิดว่าเธอดูเขาผิด แต่สิ่งที่เขาตอบโต้กับเธอ มันยิ่งกว่าการแสดงความฉุนเฉียวใช้อารมณ์เสียอีก มันทำให้เธอมองเห็นความเลือดเย็น ดึงดัน เอาแต่ใจตัวเอง เสียจนไม่แคร์ใคร หรืออะไรเลยจริงๆ

ผมจะแต่งงานกับคุณ

แม้จะเพิ่งรู้จัก แต่วาทินี เชื่อว่า เขาจะทำอย่างนั้นจริงๆ เพราะดูเหมือนการแต่งงานมันไม่มีความหมายสำหรับเขา ขอให้เขาได้อย่างที่ต้องการเถอะ แต่ก็ช่างพูดออกมาง่ายๆ จนน่าตบ

วาทินีรู้นิสัยตัวเองดีว่า เวลาบ้าขึ้นมา ก็ไม่เกี่ยงเหมือนกันว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่การที่เธอทำธุรกิจห้องเสื้อ ซึ่งเป็นธุรกิจบริการอย่างหนึ่ง ที่ต้องเจอกับผู้คนหลากหลาย และโดยมากมักจะเอาแต่ใจตัวเองเสมอ ทำให้วาทินีเรียนรู้ที่จะประนีประนอม และหาทางให้ลูกค้าได้รับความพึงพอใจ แม้ว่าในบางครั้งมันจะขัดกับความรู้สึกของเธอก็ย่อมเก็บเอาไว้ สิ่งนี้น่าจะเป็นผลดีต่อเธอ เพราะเธอรับมือกับคำพูดข่มขู่ของพลังพลได้ โดยไม่ย้อนไปว่า

ก็เอาสิ ! ถ้าแน่จริง

ก็ให้คิดไปเถอะ ว่าเธอกลัว แต่จะทำยังไงกับคนที่ทั้งบ้าและไร้เหตุผล พอๆ กับที่คิดว่าตัวเองแน่เสียเหลือเกิน เธออาจไม่ชอบการพนัน แต่ก็ละเลยการท้าทายได้ยาก มันเป็นสิ่งที่วาทินีพยายามข่มมันไว้เป็นเวลานาน เธออยากอยู่อย่างสงบๆ กับสิ่งที่มีอยู่ ไม่ต้องการแข่งขันกับใครหรืออะไร เธอไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงโลกที่กำลังเดินไปด้วยดีของเธอตอนนี้ เพราะเธอได้ทำงานในสิ่งที่ตัวเองรัก ซึ่งมันกำลังก้าวหน้าไปเรื่อยๆ เธอมีคนที่เธอรักและให้รอ แม้ใครจะคิดว่าเป็นการโง่ที่รอ การตอบคำถามใครสักคนเรื่องแฟน ว่าเขาอยู่ต่างประเทศมันง่าย กว่าที่จะบอกว่ายังไม่มีแฟน แล้วคนอื่นๆ ก็พยายามเข้ามายุ่งในชีวิตเธอ ตราบใดที่ระบิล ไม่บอกเลิกเธออย่างจริงจัง เธอก็จะถือว่าเขาเป็นคู่หมายของเธออยู่ ยึดระบิลไว้ มันง่ายที่สุดแล้ว คนอื่นจะได้ไม่มายุ่งกับเธอ ที่ผ่านมาเธอทำได้ดี ไม่วอกแวก จะมีก็เมื่อครู่นี่แหละ ที่พลังพลกระตุ้นความรู้สึกนี้ขึ้นมาจนได้ แม้จะพยายามข่มอารมณ์อย่างเต็มที่ แต่วาทินีก็รู้ว่าลึกๆ แล้ว ใบหน้าอันหล่อเหลา รอยยิ้มคร้านๆที่ผิดกับสายตาคมกล้าสะท้อนความมั่นใจตัวเองยามมองที่เธออย่างท้าทายนิดๆ มันทำให้เธอก็อยากจะลองเล่นกับเขาดูสักตั้ง ว่าใครจะเป็นคนชนะในเกมส์นี้

แต่ชั่วเวลาไม่ถึงสามสิบนาทีที่ขับรถมาถึงบ้าน ก็ทำให้อารมณ์ของวาทินีสงบและเข้าที่เข้าทางขึ้น หลังจากที่สรุปสั้นๆ กับตัวเองว่า ช่างเถอะ ไม่คุ้มที่จะไปตอแยกับคนอย่างนั้น

เมื่อเดินเข้าไปก็เห็นผู้เป็นพ่อ นั่งดื่มกาแฟ อ่านหนังสือพิมพ์อยู่ พ่อคงตื่นสายเพราะนี่เกือบจะสิบโมงเข้าไปแล้ว ท่าทางไม่ทุกข์ร้อนของผู้เป็นพ่อในสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้วาทินี ลอบถอนหายใจ คิดจะเดินเลี่ยงเข้าห้องตัวเองเสีย ก็พอดี นายวาทินเงยหน้าถามว่า

“ ไปไหนมา ”

“ ไปคุยกับคุณพลังพลมาค่ะ ”

วาทินีตอบ พร้อมกับเดินมานั่งตรงข้าม นายวาทินกวาดสายตามองลูกสาว ที่สีหน้าเธอดูไม่สบอารมณ์นัก แต่เขาก็ถามต่อด้วยน้ำเสียงปกติว่า

“ เรื่องหาตัวยัยวิชเหรอ? ”

“ เปล่าค่ะ คุยกับเขาเรื่องเงินห้าล้านที่คุณพ่อเอามา ”

ผู้เป็นพ่อขมวดคิ้ว วางหนังสือพิมพ์ลง

“ แกจะยุ่งทำไม? ”

“ วาก็จะไม่ยุ่งแล้วค่ะ เพราะคิดว่าคืนเงินเขาแล้วจะจบ แต่นายนั่นไม่ยอมจบ ”

น้ำเสียงหงุดหงิด ในตอนท้ายของลูกสาว ทำให้นายวาทิน ถึงกับมองอย่างสงสัย แต่ปากก็พูดว่า

“ ก็เขาเป็นคนแบบนั้น จะเอาอะไรต้องเอาให้ได้ ”

วาทินี ส่ายหน้ามองผู้เป็นพ่ออย่างไม่เข้าใจ ฟังดูเหมือนท่านจะเข้าข้างพลังพลเสียเหลือเกิน จนอดที่จะพูดอย่างขัดใจไม่ได้ว่า

“ แล้วมันจำเป็นนักเหรอค่ะ ที่เราต้องประเคนตามใจเขา คุณพ่อกลัวอะไรเขานักหนา ”

“ พ่อไม่ได้กลัว แต่พ่อชอบเขา และเขาต้องการในสิ่งที่พ่ออยากให้ ” นายวาทินพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉื่อยไม่สนใจกับอารมณ์ของลูกสาว เมื่อถามต่อว่า

“ ที่บอกว่าจะคืนเงินเขา แกจะเอามาจากไหน? ”

“ คิดว่าจะขายที่ค่ะ ”

“ ก็ขายสิ เดี๋ยวพ่อจะจัดการให้ ”

วาทินีหัวเราะในลำคอ พูดเสียงหยันว่า

“ ในเมื่อเขาไม่ยอมหยุดเรื่องยัยวิช วาจะขายไปทำไมละคะ ”

นายวาทินไม่สนใจน้ำเสียงของลูกสาว เมื่อในหัวเริ่มคำนวณตัวเลขจากการขายที่ดิน พูดออกมาอย่างตรึกตรองว่า

“ ความจริงที่ของวาก็สวยนะ แต่มันน้อยไปหน่อย แค่สิบไร่ ถ้าผืนใหญ่กว่านี้สิ พ่อจะยุให้คุณพลเขาเปลี่ยนใจมา เอาตรงนี้แทนของยัยวิช จะได้ง่ายขึ้น แต่ไม่เป็นไรพ่อจะจัดการเรื่องนี้ให้เอง ”

วาทินีคร้านที่จะใส่ใจคำว่า พ่อจะจัดการเรื่องนี้ให้เอง เธอรู้จักพ่อดีว่า ท่านเก่งในเรื่องเหล่านี้แค่ไหน หากขายเธอก็ไม่คิดว่า จะได้สักบาทเป็นส่วนแบ่ง ทั้งๆที่ ที่ดินนั้นเป็นของเธอ แต่วาทินีก็ไม่ได้โทษผู้เป็นพ่อ เพราะที่ดินนั่นก็เป็นของคุณวาสนายกให้เธอเป็นมรดก และหากการขายที่แล้วเงินที่ได้มันช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ เธอก็พร้อม แต่นี่ นายพลังพลนั่นบอกแล้วว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยว ดังนั้นเธอก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องพูดถึงเรื่องนี้กับพ่ออีก หญิงสาวขยับตัวจะลุกขึ้น แต่นายวาทินก็ถามขึ้นว่า

“ คิดออกแล้วยังว่ายัยวิชจะไปอยู่ไหนบ้าง แกคิดว่าน้องจะหนีไปอยู่กับพวกโน้นไหม? ”

ไม่ต้องขยายความหรอกว่าพวกโน้นคือพวกไหน วาทินีก็เข้าใจได้เลย เพราะพ่อจะกล่าวถึงญาติคุณวาสนาว่าพวกโน้นเสมอ

“ คงไม่หรอกค่ะ ขืนไปอยู่กับคุณยายกันยา มีหวังป้าวิทวันโทรมาหัวเราะใส่หน้าคุณพ่อแล้ว ”

นายวาทินหน้าเครียด ก่อนจะพูดขรึม ๆ ว่า

“ ยัยจ๋าลูกสาวเขาน่ะ เคยควงกับคุณพลังพลระยะหนึ่ง ยัยแม่คงหมายมั่นปั้นมือจะให้ได้กับคุณพลังพล สะใจชะมัดที่เขาหันมาเลือกยัยวิชเสียแทน ”

วาทินีพ่นลมออกจากปากอย่างลืมตัว คุณพระ ! มันอย่างนี้นี่เอง ที่พ่อเธอถึงได้กระเหี้ยนกระหืออยากได้พลังพลเป็นเขยนัก รู้สึกว่างานนี้ไม่เพียงจะเกี่ยวกับเรื่องเงินๆ ทองๆ เสียแล้วกระมัง

“ ยัยวิชดันมาทำเสียเรื่อง โชคดีนะที่คุณพลังพลเขาไม่เปลี่ยนใจ ไม่งั้นพวกโน้นต้องหัวเราะเยาะพ่อแน่ๆ งานนี้ ยังไงๆ แกต้องหาน้องให้เจอนะยัยวา ช่วยเขาให้เต็มที่ อีกอย่าง... ” นายวาทินหยุดมองหน้าลูกสาวอย่างหมายมั่นก่อนจะพูดต่อว่า

“ หากผิดไปจากยัยวิช พ่อก็ต้องการให้เป็นแกที่ได้แต่งงานกับคุณพลังพล ”

“ โอยจะบ้าตาย ” วาทินีถึงกับครางออกมา ในความคิดง่ายๆ ของผู้เป็นพ่อ ดูเหมือนท่านจะไม่คิดอะไรมากไปกว่าการเอาชนะคุณวิทวันจนลืมคิดไปว่า พลังพล ไม่ใช่หมูในอวยให้ท่านต้อนง่ายๆ แม้ว่าเขาจะเพิ่งพูดข่มขู่ว่าจะแต่งงานกับเธอเมื่อไม่กี่สิบนาทีมานี่ก็เถอะ

“ พ่อคิดได้ยังไงว่า วาจะเล่นด้วย ”

นายวาทินมองหน้าลูกสาวเขม็ง เอ่ยด้วยความมั่นใจว่า

“ พ่อรู้ว่าแกทำได้ ถ้าอยากทำ วาทินี ”

วาทินีส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ เธอขี้เกียจที่จะพูด หรือโต้แย้งอะไรกับผู้เป็นพ่ออีกแล้ว ในเมื่อทุกคนต่างก็ทำตามใจตัวเองทั้งนั้น ทำไมเธอจะตามใจตัวเองไม่ได้ จะมาบีบคั้นให้เธอเป็นคนแก้ปัญหานี้คนเดียวได้ยังไง ไม่ว่าจะเป็นพ่อ น้องสาว หรือนายพลังพลนั่น

“ เดือนหน้าคุณพลังพลจะไปลาสเวกัส หากหายัยวิชเจอบางทีเขาอาจจะพายัยวิชไปฮันนีมูนที่นั่น พ่อจะไปด้วย ”

คราวนี้ วาทินีถึงกับจ้องหน้าผู้เป็นพ่อ อย่างเอะใจ ทำไมพ่อกับพลังพลถึงได้รู้ดีกันนัก เพราะแม้แต่เรื่องนี้ วิชชุลดา ก็ยังไม่เคยเล่าให้เธอฟังเลย

“ พ่อรู้จักกับเขานานแล้วเหรอคะ? ทำไมสนิทกันจัง ”

“ ก็ไม่นาน แต่เขาใจกว้างเป็นนักเลงดี ”

“ ก็แน่ละสิ เขาอยากได้ที่ดินยัยวิชนี่นา ”

นายวาทินส่ายหน้า

“ ไม่ใช่ ตอนนั้นเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีที่ดินตรงนั้น พ่อแนะนำเขาเองแหละ คุณพลังพลเขาอยากได้ที่สร้างโรงแรมกึ่ง เอ้อ ...สถานบันเทิงเลยกวาดซื้อเสียเกลี้ยง เหลือตรงที่เป็นของยัยวิชแค่นั้น ”

“ สถานบันเทิง? ” วาทินีย้อนเสียงสูง ก่อนจะตามมาด้วยคำว่า “ บ่อนคาสิโนเหรอคะ? ”

“ เขาไม่เรียกแบบนั้น ” นายวาทินขัดเสียงเรียบ

วาทินีเม้มปาก ส่ายหน้ามองผู้เป็นพ่ออยู่ชั่วขณะ ก่อนจะลุกขึ้นพูดอย่างเย็นชาว่า

“ จะทำอะไร ก็ทำกันเถอะ วาไม่ยุ่งด้วยแล้ว ”

ท่าทีของลูกสาว ทำให้นายวาทินอึ้งไปเหมือนกัน เขารู้ดีว่า วาทินีเกลียดการพนัน ทั้งๆที่เป็นคนที่มีดวงในเรื่องนี้ เธอเล่นการพนันเป็นเกือบทุกชนิด ฉลาดและมีไหวพริบ ไม่แพ้ใคร อาจจะเป็นเพราะเธอสะสมสิ่งนี้ตั้งแต่เด็กทั้งนี้ก็เพราะเขาเป็นพ่อที่แย่ เพราะยามว่างแทนที่จะอ่านหนังสิอหรือสอนสิ่งดีๆ ให้กับลูก กลับใช้ลูกเป็นคู่ซ้อม เธอเรียนรู้มาจากเขาแต่ทำได้ดีกว่า ก่อนนั้นความสนิทสนมระหว่างเขากับวาทินีมีมาก จนเหมือนกับคู่หูต่างวัยมากกว่าพ่อลูกกัน แต่สิ่งเหล่านี้มันเริ่มหายไปอย่างช้าๆ เมื่อเขาได้แต่งงานกับคุณวาสนา เขาห่างเหินกับลูกไปอย่างไม่รู้ตัวเพราะหมกมุ่นกับความสะดวกสบายจากอำนาจเงินของคุณวาสนา ทำให้เขาสามารถบินไปเล่นการพนันในประเทศต่างๆ ได้อย่างสบายและไม่ต้องพะวงกับลูกสาวอีกแล้ว เมื่อเธอได้เข้าโรงเรียนประจำที่มีชื่อเสียง เขาเชื่อว่าเขาวางหลักปักฐานให้ลูกสาวได้เป็นอย่างดี ไม่น่าห่วง และวาทินีไม่ควรจะเย็นชากับเขาในเรื่องนี้ ตอนนี้สมควรที่วาทินีจะตอบแทนเขาบ้าง ไม่ใช่มาทำแข็งข้อใส่อย่างนี้

“ พ่อจะเชิญคุณพลังพล จะมาพักที่ตึกเล็ก จนกว่าจะหายัยวิชเจอ ”

“ ให้มาพักตึกเล็ก? ” วาทินีย้อนเสียงสูง

นายวาทินมองหน้าลูกสาว ที่ดูจะไม่พอใจเอามากๆ อย่างไม่สนใจเช่นเดิม

“ ใช่ แกมีปัญหาอะไรกับเขากันนักกันหนายัยวา ใช่ว่าตึกนั่นเขาจะไม่เคยมาพัก ตอนเขามาจีบยัยวิชก็พักที่นั่นบ่อยท่าทางจะชอบเสียด้วยซ้ำ มาพักหนนี้บางทีพ่ออาจจะเสนอขายให้เขา ”

“ ตึกนั่น เป็นของวา ” วาทินีขัดเสียงเข้ม เรื่องที่ดิน เธออาจจะยอมได้ แต่ถ้าตึกหลังนี้หัวเด็ดตีนขาดเธอไม่ยอมแน่

“ ก็แล้วไง ฉันเป็นคนดูแลให้แกตลอดเลยนะตั้งแต่แกไม่อยู่ แกก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรกับมัน จะเก็บเอาไว้ทำไม หากคิดจะใช้เป็นเรือนหอ ก็ให้ไอ้ระบิลนั่นมันจ่ายเสียบ้างสิ ใช่ว่าจะเอาแต่จากแกฝ่ายเดียว ”

วาทินีเม้มปาก มองผู้เป็นพ่อด้วยสายตาเฉยเมย ลุกขึ้นพูดด้วยน้ำเสียง เย็นชา ว่า

“ ถ้างั้นก็ขายไปเถอะ วาจะกลับกรุงเทพฯ ไม่มาเหยียบที่นี่อีก ”

เพราะรู้นิสัยลูกสาวดีว่า เจ้าทิฐิ พูดคำไหนคำนั้นเหมือนกัน ทำให้นายวาทินชักจะรู้สึกตัวว่า เขาพูดพลาดไป หากวาทินีกลับกรุงเทพฯ ทุกอย่างก็ต้องลงมาที่เขาคนเดียว พลังพลนั้นยามดีก็ดี แต่ยามร้ายก็ไม่ไว้หน้าใครเหมือนกัน มีวาทินีอยู่เป็นกันชน จะดีกว่าเสียอีก และที่เขาคิดเอาไว้ ก็ไม่ได้คิดเล่นๆ หากผิดจากวิชชุลดา แล้ว วาทินีควรจะแต่งงานกับพลังพลเสียเอง เสียงนายวาทินจึงอ่อนลงเมื่อพูดว่า

“ เอาอย่างนี้แล้วกันพ่อจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับไอ้ตึกเล็กนั่น ชื่อนายระบิลนั่นก็จะไม่พูดถึงอีก วาอยู่ช่วยพ่อหาน้องให้เจอแล้วค่อยกลับนะลูก เพราะพ่อห่วงว่าน้องจะมีอันตราย รู้ไหมยัยวิช เอาของหมั้นพวกเครื่องเพชรติดตัวไปด้วยนะ คิดเป็นเงินก็หลายล้านอยู่ ”

ข้อมูลใหม่ ที่ได้จากบิดาทำให้ วาทินีถึงกับทรุดตัวลงนั่งอย่างเหนื่อยอ่อน ไม่มีอะไรดีๆ กว่านี้จะได้ยินหรืออย่างไรนะ แต่ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไร สาวใช้ก็มารายงานว่า

“ คุณยายกันยาโทรมา บอกให้คุณวาไปพบท่านด่วนค่ะ ”

- - - - - - - - - -

วาทินีมองคฤหาสน์หลังใหญ่ อันมีเสาโรมันค้ำตระหง่านตรงระเบียงหินอ่อนหน้าบ้านของตระกูล มันยังดูยิ่งใหญ่ โอ่อ่าเหมือนเดิมแม้จะผ่านวันเวลาไปหลายสิบปี ผ่านหลายชั่วอายุคน ครั้งสุดท้ายที่เธอมาที่นี่ ก็เมื่อสามปีก่อน มางานศพคุณลุงอนันต์ ผู้เป็นสามีคุณวิทวัน งานศพยิ่งใหญ่แต่ก็วุ่นวายเพราะญาติพี่น้องมากมาย บางคนเธอก็รู้จักบางคนก็ไม่รู้จัก แต่เมื่อเห็นเขารวมญาติกันได้มากมายขนาดนี้ วาทินีก็นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่า ในชีวิตของเธอนอกจากพ่อและแม่แล้ว ยังมีญาติพี่น้องอยู่ที่ไหนอีกหรือเปล่า เพราะพ่อกับแม่ของเธอไม่เคยเล่าถึงญาติพี่น้องที่ไหนให้ฟังเลย ตอนเด็กเธอเคยถามแม่ แต่แม่ก็ตอบว่าไว้โตแล้วจะเล่าให้ฟัง แต่ท่านก็เสียชีวิตไปเสียก่อนที่เธอจะโต เคยถามผู้เป็นพ่อท่านก็ตอบง่ายๆ ว่า “ ตายหมดแล้ว ” เธอเลยไม่คิดจะถามไถ่อีก เพราะรู้ว่าพ่อไม่อยากจะพูดถึง และก็ลืมเลือนไม่สนใจไปเลย

วาทินีเดินขึ้นบันไดสี่ห้าขั้น ทั้งตึกดูเงียบราวไม่มีคนอยู่ หญิงสาวไม่ได้ตรงไปที่ประตูหน้าทันที แต่เดินไปยืนพินิจมองเสาโรมันต้นนั้น ตอนเป็นเด็กเธอชอบมาโอบกอดเสาใหญ่นี้เล่น มันเป็นที่ซ่อนตัวได้ดีและสนุกที่จะได้หมุนไปรอบๆ เพื่อไม่ให้ใครเห็น อย่างน้อยเธอก็ยังมีความหลังดีๆที่คฤหาสน์หลังนี้ เพราะคุณยายกันยาเป็นผู้ใหญ่ที่มีเมตตาเธอเสมอมาตั้งแต่เด็กจนโต เงินที่เธอนำไปทำธุรกิจก็เป็นของท่าน แม้ตอนนี้เธอจะชำระหนี้หมดทุกบาททุกสตางค์แล้ว แต่คำว่า บุญคุณ ก็ยังต้องมีต่อกันไปเรื่อยๆ ดังนั้นการที่คุณยายกันยาสั่งให้เธอมาหาด่วน ก็ไม่ได้ทำให้วาทินีขัดเคืองแต่อย่างใด ดีเสียอีกที่จะได้กราบท่าน ดีไม่ดีท่านอาจจะมีเบาะแสเกี่ยวกับวิชชุลดาก็ได้ เพราะน้องสาวเธอนั้นสนิทสนมและเป็นที่รักใคร่ของยายกันยามากกว่าหลานคนอื่นๆ ก็ว่าได้

หญิงสาวเดินไปที่ประตู ยังไม่ทันจะได้แตะลูกบิด ก็มีร่างหนึ่งเปิดประตูออกมา ด้วยท่าทางรีบร้อน แต่เมื่อเห็นเธอ ก็ชะงักทักทายพร้อมร้อยยิ้มอย่างแปลกใจ

“ อ้าว วา มาหาคุณยายเหรอ? ”

“ ค่ะ คุณกร ”

“ คุณยายอยู่ที่เรือนสวนโน่น พี่ต้องรีบไป วันหลังค่อยคุยกัน ”

วาทินี ยิ้มมองตามหลังร่างที่ก้าวยาวๆ ไปที่รถแล้วขับออกไป จิตกร เป็นลูกชายคนโตของคุณวิทวัน แต่เป็นลูกที่คุณแม่ไม่ปลื้มนัก เพราะเขาไม่สนใจในเรื่องของธุรกิจ จะว่าไป คนตระกูลนี้ก็แปลก ผู้ชายมักจะไม่ได้เรื่องเกี่ยวกับธุรกิจ แต่ผู้หญิง เก่งๆ ทั้งนั้น แต่จิตกรก็ไม่ใช่คนโง่ เพราะเป็นถึง ด็อกเตอร์ทางประวัติศาสตร์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัย เขาเป็นคนเก็บตัวไม่ค่อยจะสุงสิงกับใครมาตั้งแต่เด็ก เห็นเธอแล้วทักทายได้ถึงขนาดนี้ ก็ถือว่ามากแล้ว

หญิงสาวอ้อมไปทางด้านหลังตึก เดินตามทางคอนกรีตแคบๆ ทอดไปยังเรือนสวนอันเป็นศาลาโล่งล้อมรอบด้วยต้นไม้ใหญ่เก่าๆจำพวก งิ้ว ฉำฉา นนทรี หางนกยูง และ ต้นยางคละเคล้าเต็มไปหมด สมัยเด็ก เธอเรียกที่นี่ว่า เรือนผีสิง เพราะมันมีพวกหญ้าขึ้นรกเป็นป่าหลังบ้าน ทั้งนก กระรอก กระแต มีเยอะ บางทีก็ยังมีงูเลื้อยออกมาให้เห็น คนอื่นอาจจะกลัว แต่วาทินีชอบ มาทีไรเธอก็จะมาเดินท่อมๆ หาสมบัติ สมมุติตัวเองเป็นนายพรานไปเสียเลย แต่ตอนนี้ มันถูกปรับปรุง ให้โล่งเตียน กลายเป็นสวนโปร่งตา จนมองผ่านเข้าไปเห็นเรือนได้แต่ไกล

คุณยายกันยาครึ่งนั่งครั่งนอนอยู่คนเดียวบนเตียงไม้สี่เหลี่ยม ไม่ห่างนักเป็นหนังสือพิมพ์วางอยู่เกลื่อน ท่านขยับตัวเมื่อ วาทินี คลานเข้าไปกราบ

“ มันเกิดอะไรขึ้นฮึ ยัยวา? ”

“ เรื่องอะไรเหรอคะคุณยาย? ” วาทินีแกล้งย้อน

“ อย่ามาไขสือ ให้เสียเวลา น้องสาวเราทำไมทำแบบนี้ ”

“ วาก็ไม่ทราบค่ะ ”

หญิงสาวตอบ แล้วเสจัดหนังสือพิมพ์ให้เป็นระเบียบ

“ เมื่อสองอาทิตย์ก่อนยัยวิชมาหา บอกอยู่เหมือนกันว่าจะแต่งงาน แต่ไม่ได้บอกวันที่แน่นอนอะไร แล้วนี่ดูสิ ฉันต้องรู้เรืองจากหนังสือพิมพ์ ”

วาทินียิ้ม มองยายกันยา ที่เหมือนจะแก่ลงไปมาก ท่าทางท่านดูเป็นห่วงเป็นใย วิชชุลดา เสียเหลือเกิน

“ วาเองก็เพิ่งมาถึงเมื่อวันก่อน ไม่รู้ว่าพ่อไม่ได้บอกคุณยาย ”

“ ฉันไม่ติดใจหรอกข้อนั้น แต่สงสัยว่าทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ พ่อเราบังคับยัยวิช เหรอ? ”

วาทินีส่ายหน้า

“ ไม่ค่ะ เป็นยัยวิชตกลงใจเอง ”

คิ้วที่เริ่มเห็นเป็นสีขาวของผู้สูงวัย ขมวดเข้าหากัน มองลอดแว่น ถามอย่างสงสัยว่า

“ แล้วทำไมมาหนี เอานาทีสุดท้ายอย่างนี้ ผ่ายชายเขาว่ายังไงบ้างล่ะ? ท่าทางมีหน้ามีตาไม่ใช่เล่นนี่ ”

“ เขาก็ไม่ว่าไงค่ะ แต่อยากตามตัวยัยวิชให้เจอเท่านั้น ”

“ เห็นป้าใหญ่เขาบอก ผู้ชายไม่ได้รัก หวังจะเอาที่ดินไม่ใช่เหรอ? ”

เอ ... เรื่องนี้ออกจะเปิดเผยไปทั่ว เหมือนกันนะ วาทินีคิดขำๆ แต่ก็ตอบอย่างเรียบร้อยว่า

“ วาไม่ทราบค่ะ ”

“ อะไรก็ไม่รู้ ไม่ทราบ เลยเรอะ? ” ท่านแดกดัน

“ โธ่ คุณยาย ก็วาอยู่กรุงเทพฯ จะรู้เรื่องอะไรทางนี้ได้ยังไงล่ะคะ? เรียกมานี่นึกว่ามีเรื่องจะคุยให้วาฟังเสียอีก ” หญิงสาวพูดหน้าตาย สบตาฝ้าฟางนั้นอย่างใสซื่อบริสุทธิ์จริงๆ

คุณกันยา มองหน้าสตรีตรงหน้าอย่างรู้ทัน วาทินีไม่ใช่คนสวยเด่นทันทีที่เห็น หากหยิบแต่ละอย่างออกมาวาง ไม่ว่าจะเป็นคิ้ว ตา ปาก จมูก จะเห็นว่ามันไม่ได้โดดเด่นมากมายอะไรเลย แต่สิ่งเหล่านี้กับกลมกลืนเสริมกันภายใต้วงหน้ารูปไข่ ได้อย่างเหมาะเจาะ และหากรู้จักมากขึ้น จะรู้ว่า วาทินีมีบางอย่างที่ดึงดูดใจอย่างประหลาด และต้องเป็นคนที่รู้จักเธออย่างลึกซึ้งมาก่อนเท่านั้นหรอก ถึงจะรู้ได้ว่า วาทินีซ่อนความฉลาดเอาไว้ภายใต้ท่าทีเฉยชานี้เพียงใด

“ ความจริงฉันก็พอรู้นะเรื่องนี้ แม่ใหญ่ก็คุยกับฉันเหมือนกัน ตอนแรกก็มาเที่ยวไล้เที่ยวขื่อ ยัยจ๋า พอรู้ว่าที่ดินผืนนั้นจะเป็นกรรมสิทธิ์ของยัยวิชเมื่ออายุครบยี่สิบ หรือ แต่งงานแล้วเท่านั้นแหละ ทิ้งยัยจ๋าไปเลย ”

วาทินียิ้มเฉยๆ ไม่พูดอะไร แม้จะนึกเห็นภาพคุณวิทวันได้เลยว่า จะเป็นเดือดเป็นแค้นแค่ไหนแต่ก็คงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะผู้หญิงที่พลังพลทิ้งไปหา ก็ดันเป็นหลานรักเหมือนกัน หากเป็นผู้หญิงคนนั้นเป็นเธอละก็ ... วาทินีสะดุ้งวาบในใจเมื่อความคิดหนึ่งแว่บเข้ามา

“ พ่อแกเขาคงสะใจอยู่หรอก ที่ตัดหน้าแม่ใหญ่เขาได้ แต่ตอนนี้คงโมโหน่าดูละสิ ที่ยัยวิชหนีไปแบบนี้ ”

คำพูดของยายกันยา เรียกความคิดที่ชักเตลิดไปของวาทินีกลับมา

“ ก็แค่สั่งวา ให้ช่วยตามหายัยวิชกลับมาเท่านั้นเอง หากไม่อยากแต่งกับคุณพลังพลก็ไม่เป็นไร ยังไงก็รบกวนคุณยายอนุญาตให้เขาเช่นที่ดินนานๆ หน่อยเท่านั้น เพราะตอนนี้ที่ยังไม่ได้เป็นของยัยวิช ”

ยายกันยา มองหน้าวาทินีนิ่งอยู่ครู่ก็ส่ายหน้าพูดว่า

“ ฉันว่า ไอ้เรื่องที่ดินนี่มันเรื่องเล็ก พ่อเราไม่หยุดแค่นี้หรอก ในเมื่ออยากได้เขาเป็นลูกเขยถึงเพียงนี้ พลาดจากยัยวิช ก็คงเป็นเรานั่นแหละ ที่จะถูกพ่อเขาสั่งการ ”

วาทินีลอบกลืนน้ำลาย เรื่องรู้ทันพ่อนี่ ไม่มีใครเกินยายกันยาได้หรอก เธอเองก็เพิ่งแว่บขึ้นมาเมื่อครู่เอง พ่อไม่เพียงแค่คิดหรือพูดเท่านั้น แต่จะทำให้มันเป็นจริงเลยทีเดียวหากเอาชนะ คุณวิทวันได้ แม้จะคิดอย่างนี้แต่หญิงสาวก็ยังยิ้มพูดเหมือนมั่นใจว่า

“ พ่อไม่ยุ่งกับวาหรอกค่ะ แค่หาตัวยัยวิชกลับมาได้ทุกอย่างก็เรียบร้อย ”

“ คิดว่าจะหาตัวยัยวิช เจอที่ไหนกันล่ะ? ”

เมื่อคุณยายกันยาถามคำนี้ วาทินีก็ถึงกับถอนใจยาว หลายปีที่เธอไปอยู่กรุงเทพฯ ก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องส่วนตัววิชชุลดามากนักหรอก นอกจากจะโทรคุยกันเจาะแจะ ไปตามเรื่อง วิชชุลดาไม่เคยปรึกษาหารือเรื่องอะไรกับเธอเลย ทุกอย่างตัดสินใจเองกับพ่อหมด เมื่อตัดสินใจว่าจะทำอะไรแล้ว ถึงได้โทรไปคุยหรือไปบอกให้ฟังว่าจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ การที่จะหาตัววิชชุลดาจึงเป็นเรื่องที่ยากมากๆ เหมือนกัน ยิ่งถ้าเจ้าตัวไม่อยากจะให้เจอก็ยิ่งไปใหญ่

“ วาไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นที่ไหนเหมือนกัน แต่ว่าจะเริ่มที่เพื่อนๆ เขาดู ”

ยายกันยา ส่ายหน้า “ ลงยัยวิช มันหนี จ้างมันก็ไม่อยู่บ้านเพื่อนให้เราตามเจอหรอก ”

“ คุณยายคิดว่า ยัยวิชจะไปอยู่ไหนได้บ้างละค่ะ ” วาทินีย้อนถาม ความสนิทสนมของวิชชุลดากับยายกันยา ก็มีอยู่มาก บางทียายกันยาอาจจะเป็นคนรู้ดีกว่าทุกคนเสียด้วยซ้ำ เธอจะไม่ยอมปล่อยให้เบาะแส แม้เพียงน้อยนิดผ่านไปเด็ดขาด หาตัววิชชุลดาให้เจอและได้เครื่องเพชรคืน เอาสองอย่างนี้ให้จบเสียก่อน หากมีปัญหาอย่างอื่นตามมาค่อยแก้กันทีหลัง ไอ้เรื่องอยากแต่งหรือไม่อยากแต่ง ไม่ใช่ประเด็นสำคัญแล้วสำหรับตอนนี้

“ ก็ไม่รู้สินะ เมื่อครั้งสุดท้ายที่มาหา ก็มาถามถึงคนเก่าๆ ที่เคยอยู่บ้านนี้สองสามคน ว่าไปอยู่ที่ไหน จำนายดล ลูกตาผันที่เป็นทหารได้ไหม นั่นก็มาถามยายว่ารู้ไหมประจำการอยู่ที่ไหน เมื่อเป็นเด็กก็สนิทกับเราด้วยไม่ใช่เหรอนายนพดลนี่ ”

“ ก็สนิทกันค่ะ ดลขึ้นกรุงเทพฯ ทีไร ก็แวะไปหาวาเสมอ ” วาทินีตอบ แต่ไม่ได้เล่ารายละเอียดให้ฟังต่อว่า ที่นพดลไปหานั้น ก็เพราะแอบชอบเพื่อนสาวของเธออยู่ แม้กรรณิการ์เพื่อนของเธอจะไม่แสดงท่าทีชัดเจนนักว่าคิดยังไง แต่ดูเหมือนนพดล ก็ไม่หมดกำลังใจไปเสียทีเดียว แต่ความจริงเมื่อตอนยังเป็นวัยรุ่น วาทินีรู้ว่า นพดล หลงรักคุณจ๋า หรือจาริกา แต่ฝ่ายหญิงหยิ่งเกินกว่าจะมองลูกชาวสวน จึงมีแต่เธอและน้องสาวเท่านั้นแหละ ที่คลุกคลีสนิทสนมไปทั่วกับลูกคนรับใช้

“ ก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ บ้านศิลาแดง ด้วยหรือเปล่านะ เพราะถามเรื่องว่ามีคนเช่าอยู่หรือเปล่า ” ยายกันยาเสริมมาอีก วาทินี ถึงกับบันทึกชื่อนี้เอาไว้ในหัวทันที แล้วเธอก็ถึงกับอึ้งไปเลย เมื่อยายกันถามขึ้นว่า

“ แฟนเรา นายระบิลนั่น ยังติดต่อกันอยู่ไหม? ”

“ เอ้อ ... ค่ะ ”

“ ยังรอเขาอยู่หรือเปล่า? ”

“ ค่ะ ” วาทินีอุบอิบ

“ ยัยวิชมันเคยบ่นว่า อยากให้วา เลิกกับนายนี่เสียให้เด็ดขาด ”

วาทินีหัวเราะส่ายหน้า

“ ก็ถ้าเจอหน้า ทั้งพ่อ ทั้งยัยวิช ก็บ่นเรื่องนี้ประจำ ”

ยายกันยามองเธออย่างพิจารณา ก่อนจะพูดว่า

“ ไม่รู้ว่ามันจะเกี่ยวกันหรือเปล่านะ ฉันได้ยินยัยวิชมันถามที่อยู่ของนายระบิลกับยัยจ๋า ”

คิ้วของวาทินีขมวดเข้าหากัน น้องสาวเธอจะถามหาที่อยู่ของระบิลไปทำไม และที่น่าแปลกทำไมถึงต้องถามกับจาริกา จริงอยู่ที่จาริกาไปอยู่เมืองนอก แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นรัฐเดียวกับที่ระบิลอยู่ และเธอก็ไม่คิดว่า จาริกาจะสนอกสนใจใคร่รู้ในเรื่องของระบิลจนข้ามรัฐไปมาหาสู่ แต่คำว่า ไม่รู้จะเกี่ยวกันหรือเปล่า ของยายกันยา ทำให้วาทินี คิดตงิดๆ บางอย่างในใจ นี่ยัยกันยา กำลังจะบอกใบ้ อะไรบางอย่างกับเธอหรือเปล่า แต่เมื่อเธอจะอ้าปากถาม ยัยกันยาก็มองไปด้านหน้า พูดว่า

“ นั่นแม่ใหญ่ใช่ไหม คงรู้ว่าเรามาหายาย ”

วาทินีหันกลับไปมองทางเดินก็เห็นร่างในชุดสูทสีเทาเข้ม เดินตรงเข้ามา คุณวิทวัน อายุจะเข้าห้าสิบ แต่ก็เป็นสตรีที่ดูแลรูปร่างตัวเองได้ดีเหลือเกิน เพราะเธอดูภูมิฐาน และงดงามกว่าวัย

วาทินี ยกมือไหว้ แต่คุณวิทวันเพียงแค่พยักหน้ารับ พูดกับยายกันยาว่า

“ คุณแม่มาอยู่นี่เอง ใหญ่เชิญคุณประสานมาทานกลางวันด้วย เพราะบ่นอยากมากราบคุณแม่มานานแล้ว อยู่กินข้าวด้วยกันสิ ” ตอนท้ายหันมาบอกกับวาทินี

หญิงสาวขยับจะปฏิเสธ ก็พอดี คุณวิทวันเสริมว่า

“ ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย ”

“ ค่ะ ” วาทินีตอบรับอย่างเสียไม่ได้ และเดาว่าคุณวิทวันคงจะคุยเรื่องของวิชชุลดา ซึ่งเธอไม่อยากจะคุยด้วยเลยจริงๆ

แล้ววาทินีก็กลับมาถึงบ้านอีกครั้งเกือบบ่ายสาม การรับประทานอาหารกลางวันทำให้เธอออกจะแปลกใจกับการได้รู้จักกับนายประสาน โพธิพิสุทธิ์ ซึ่งจัดว่าเป็นผู้ชายที่ภูมิฐานมีสง่าราศีมากแม้จะอยู่ในวัยเกษียณแล้วก็ตาม ทั้งคุณวิทวันและนายประสาน มีโครงการธุรกิจที่จะทำร่วมกัน วาทินีคงจะไม่สนใจเขานักหรอกหากว่า นายประสานนั้น จะไม่มีไบหน้าละม้ายคล้ายกับพ่อของเธอเหลือเกิน และในระหว่างรับประทานอาหารวาทินีก็มีความรู้สึกว่าเขาลอบมองมาที่เธอบ่อยๆ แต่หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ คุณวิทวันได้คุยกับเธอ เป็นเรื่องที่เธอเองก็คาดการณ์ผิด มันไม่ใช่เรื่องของวิชชุลดา เพราะคุณวิทวันอยากจะให้เธอกลับมาทำงานกับท่านใหม่ ซึ่งเธอก็ตอบปฏิเสธออกไปตรงๆ แต่คุณวิทวันบอกให้เธอกลับมาปรึกษาพ่อดูก่อน ซึ่งนับได้ว่าเป็นเรื่องที่อัศจรรย์ใจเธอมาก กับครั้งแรกที่คุณวิทวันสามารถกล่าวถึงพ่อได้ โดยไม่ถากถางไปด้วย

วาทินีลงจากรถมองไปทางตึกเล็กก็เห็น มีรถจอดอยู่ถึงสองคัน เธอกัดริมฝีปากล่างอย่างไม่สบอารมณ์นัก ตึกนั้นเป็นของขวัญที่คุณวาสนายกให้เธอตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ เมื่อแรกเธอดีใจและรู้สึกถึงความใจกว้างของคุณวาสนาที่ไม่ได้รังเกียจความเป็นลูกติดพ่อ แต่เมื่อคิดย้อนหลังทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่พ่อแต่งงานกับคุณวาสนา ไม่ว่าการที่เธอต้องอยู่โรงเรียนประจำ จะกลับบ้านก็แค่เสาร์อาทิตย์ และเมื่อปิดเทอม เธอจะถูกส่งไปเข้าแคมป์ถ้าไม่ในประเทศก็เป็นต่างประเทศ กลับมาเมื่อโรงเรียนเปิด ไม่เคยได้อยู่บ้าน และพอเรียนมหาวิทยาลัย เธอก็มีบ้านเป็นของตัวเอง ไม่เคยได้อยู่ตึกใหญ่ และไม่เคยได้อยู่ร่วมกับพ่อ คิดๆดูก็เหมือนกับว่า เธอถูกแยกให้ห่างจากพ่ออย่างไม่รู้ตัว ราวกับว่าเธอไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว แต่เธอก็มาคิดได้อย่างนี้ก็ตอนที่คุณวาสนาเสียชีวิตไปแล้ว และเธอเองก็โตเกินกว่าจะไปเรียกร้องหาครอบครัว แม้หลังงานศพคุณวาสนาพ่อจะสั่งให้เธอย้ายขึ้นมาอยู่ตึกใหญ่ แต่ตึกเล็กก็เป็นเรือนที่เธอแวะมานอนพักบ่อยๆ ในยามที่อยากหาความสงบใจ เธอผูกพันธ์กับตึกเล็ก และมีสิ่งของหลายอย่างที่เป็นของส่วนตัวเธออยู่ที่นั่น พ่อไม่ได้สั่งให้เธอไปเป็นแม่งานจัดเตรียมตึกหลังนั้นสำหรับนายพลังพล แต่เธอก็หวังว่าพ่อจะกำชับให้สาวใช้เปิดเพียงห้องรับรองให้เขาอยู่ แทนที่จะเป็นห้องส่วนตัวของเธอด้วย และถึงนายพลังพลนั่นจะมาแล้ว วาทินีก็ไม่คิดจะไปทักทายตามมารยาทของเจ้าของบ้าน เธอปล่อยเรื่องนั้นให้เป็นหน้าที่ของพ่อ และเธอคิดว่า พ่อก็คงอยู่ที่นั่นแล้ว

หญิงสาวเข้าบ้านแล้วก็ตรงไปยังห้องน้องสาวอีกครั้ง ทุกอย่างยังคงสภาพเช่นเดิมเหมือนเมื่อวาน ชุดแต่งงานยังแขวนอยู่ที่เดิม มันเป็นชุดผ้าไหมสีงาช้างมีสายบ่าเรียวเล็ก สองข้าง ตัวกระโปรงทรงตรงแหวกด้านหลังมัน เรียบแต่เก๋ เมื่อจัดองค์ประกอบกับช่อดอกไม้ที่ประดิษฐ์เป็นพิเศษเพื่อให้เข้ากับชุด ที่ไม่พะรุงพะรังมากมาย เธอตั้งใจออกแบบอย่างนี้ เพื่อเป็นของขวัญแต่งงานให้น้องสาว ตอนที่วิชชุลดาลองใส่ เจ้าตัวก็ชอบมากทีเดียว หมุนตัวไปมาอยู่หน้ากระจกอย่างตื่นเต้น

“ โห ไม่คิดว่าตัวเองจะสวยขนาดนี้เลยพี่วา ”

“ เขาถึงว่า ผู้หญิงจะสวยที่สุดก็วันแต่งงานไง ”

“ ผิดแล้ว วิชสวยทุกวันต่างหาก ” วิชชลดาย้อนกลับมาอย่างอารมณ์ดี “ แต่ชอบชุดนี้จัง วิชจะเก็บเอาไว้ให้ถึงรุ่นลูกเลย อย่างฝรั่งเขาทำกัน ”

วาทินีถอนหายใจเมื่อนึกถึงตอนนั้น วิชชุลดาไม่มีทีท่าอะไรเลย หรือว่าเธอจะคิดผิดไป บางทีวิชชุลดาอาจจะคิดแต่งงานกับพลังพลจริงๆ ก็ได้ แล้วคำถามหนึ่งก็ผุดขึ้น

เป็นไปได้ไหมว่าน้องสาวของเธอจะถูกลักพาตัว พร้อมเครื่องเพชร?

บ้าน่า คิดเป็นนวนิยายไปได้ วาทินีสะบัดหน้าทิ้งความคิดนั้น เพราะเช้าเมื่อวานเธอช่วยวิชชุลดาแต่งตัวจนเสร็จแล้วออกไปดูความเรียบร้อยข้างนอก ปล่อยให้เจ้าสาวอยู่คนเดียวชั่วสามสิบนาที จนเจ้าบ่าวมาถึง จะมาตามตัวเจ้าสาวนั่นแหละจึงเห็น โน้ตของวิชชุลดาวางอยู่บนชุดตอนเช้าที่ถูกถอดวางพับเอาไว้อย่างเรียบร้อยเสียด้วย หากเป็นการลักพาตัวมันก็ต้องเห็นร่องรอยอะไรบ้าง

และตอนนี้ชุดนั้นก็ยังวางอยู่ที่ปลายเตียงเหมือนเดิม คงเป็นวิชชุลดาหนีไปจริงๆ นั่นแหละ

วาทินีเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง เปิดลิ้นชักดูเล่น ในนั้นไม่มีอะไร นอกจากหนังสือนิยายอ่านเล่น เธอหยิบขึ้นมา แล้วก็มีบางอย่างร่วงลงมาที่ตัก มันคล้ายเแหวนปลอกมีด แต่มีพลอยสีเหลืองรูปหัวใจฝังอยู่รอบๆ วาทินีหยิบขึ้นมาสวมที่นิ้วชี้ เล่นอย่างไม่คิดอะไรมาก มันบีบนิดหน่อย แต่เธอไม่สนใจ เพราะ เมื่อเปิดอีกลิ้นชักสายตาเหลือบไปเห็นแผ่นพับแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวอยู่ปึกใหญ่ เธอหยิบออกมา แล้วไปนอนหงายพาดเตียง วางมันไว้หน้าอก แล้วก็หยิบขึ้นมาพิจารณาทีละชิ้น ๆ สังเกตว่าบางแผ่น จะมีรอยปากกาสีแดงหรือดินสอขีดเป็นวงกลมเอาไว้ ซึ่งหญิงสาวจะแยกแผ่นนั้นพวกนั้นไว้บนศีรษะ ที่ต่างออกไปเธอก็ขว้างมันออกไปทั่วห้อง เลือกไปก็คิดไปว่า ไอ้พวกใบปลิวพวกนี้ มีเป็นปึก ราวกับว่าวิชชุลดาไปงานนิทรรศการท่องเที่ยวทั่วไทย แล้วหยิบใบปลิวมาเสียทุกบูธ อีกอย่างวิชชุลดา จะหนีไปเพื่อแกล้งให้พลังพลหน้าแตกเล่นแค่นั้นเหรอ และคำพูดยัยกันยาตอนถามถึงระบิลมัน ก็ชวนให้สงสัย มันต้องมีอะไรแน่ๆ หรือวิชชุลดาวางแผนนี้เอาไว้ เพื่อทำให้เธอมาพัวพันกับพลังพล ไม่ว่าจะเป็นคำพูด “ วิช หาแฟนใหม่ให้เอาไหม? ” “ ผู้ชายอย่างคุณพลังพล เบ็ญจรงค์ หาไม่ได้ง่ายนะพี่วา ” “ ยกให้เอาไหม? ”

ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆละก็ ... ยัยตัวแสบเอ้ย อารมณ์หงุดหงิดวูบขึ้นทำให้วาทินีผลุดนั่ง รวบทั้งปึกที่เหลือเหวี่ยงไปทางประตู พร้อมๆกับที่ประตูเปิดผลัวะเข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

แล้วหญิงสาวถึง อึ้งตะลึงอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นพลังพล กระดาษทั้งปึกกระทบที่หน้าอกเขาและร่วงเต็มพื้น

สายตาพลังพลไม่เหลือบแลไปยังสิ่งที่ปลิวมาประทุษร้ายเขาเลย เมื่อจ้องไปยังร่างที่นั่งอยู่เตียง วาทินียังอยู่ในชุดเดิมที่ไปพบเขาเมื่อเช้า แต่ผมเผ้าที่มัดรวบตึงในตอนเช้า กลับรุ่ยร่ายสยายรอบวงหน้าที่มองมายังเขาอย่างตื่นๆ และงุนงง ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ เขาเองก็ไม่คิดหรอกว่าจะมีใครอยู่ในห้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเป็นผู้หญิงคนนี้ ดูเธอเซ็กซี่สวยขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เห็น จนเขานึกแปลกใจตัวเองที่รู้สึกอย่างนี้ แต่เสียงของเขาก็ฟังราบเรียบเมื่อตอบสายตางงๆ นั้นว่า

“ ผมมาหาของบางอย่างที่ไม่คิดว่าน้องสาวคุณจะเอาติดตัวไป และพ่อคุณบอกให้ค้นในห้องนี้ได้ ”

  :+:+:+:+:+: 

 


โดย หนึ่งลิปดา


© ลิขสิทธิ์ตามกฏหมายโดย หนึ่งลิปดา

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

๑๐๐ คำถามสร้างนักเขียน
นวนิยายคุณเขียนได้ด้วยตัวเอง
 

 

ดั่งไฟพิศวาส
นวนิยายรักเร้าอารมณ์
 

 

ดั่งไฟรัก
 

 

2009 free writing

 



๕๐๕ แคนโต้แห่งความรัก

 

 

 

  http://www.forwriter.com . © 2005 All rights reserved.